คำถามที่พบบ่อย

เพื่อการรับประทานยาที่ถูกต้องและปลอดภัย ควรอ่านรายละเอียดบนฉลากยาหรือเอกสารกำกับยาให้ครบถ้วน และควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกรอย่างเคร่งครัด หากไม่แน่ใจหรือมีข้อสงสัยเรื่องยา ควรสอบถามแพทย์หรือเภสัชกรก่อนทุกครั้ง

FAQs SARA Paracetamol
ตอบคำถามโดย เภสัชกรหญิงชมพูนุท มาศะวิสุทธิ์ ฝ่ายวิชาการ บริษัท ไทยนครพัฒนา จำกัด

1. ซาร่าคือยาอะไร

ซาร่าคือยาบรรเทาอาการปวดลดไข้ มีตัวยาสำคัญคือ พาราเซตามอล (Paracetamol)
มีทั้งชนิดเม็ดสำหรับผู้ใหญ่และชนิดน้ำสำหรับเด็ก

ชนิดเม็ด มีทั้งแบบเม็ดกลม และเม็ดรี ทั้งสองแบบแตกต่างกันเพียงรูปแบบของเม็ดยา เพื่อให้ผู้ใช้ยาสามารถเลือกใช้ได้ตามความสะดวก ซาร่าชนิดเม็ดกลมและชนิดเม็ดรีมีปริมาณตัวยาพาราเซตามอลเท่ากัน คือ เม็ดละ 500 มิลลิกรัม
ชนิดน้ำสำหรับเด็ก แบ่งตามความเข้มข้นของตัวยาพาราเซตามอล เพื่อให้แพทย์หรือเภสัชกรเลือกความเข้มข้นที่เหมาะสมหรือที่สะดวกในการตวงปริมาณยาที่ถูกต้องแม่นยำ สำหรับเด็กที่มีน้ำหนักตัวแตกต่างกัน มีรายละเอียดดังนี้



หมายเหตุ
- หลอดหยด* หมายถึงหลอดหยดที่ใช้ตวงยาน้ำสำหรับเด็กทารก จะมีขีดกำหนดปริมาตรที่แน่นอนที่หลอดหยด คือ 0.6 มิลลิลิตร และ 0.3 มิลลิลิตร
- ช้อนชา** หมายถึงช้อนตวงยาที่กำหนดปริมาตร 5 มิลลิลิตร ทั้งหลอดหยดและช้อนชา โดยมาก ผู้ผลิตยาจะใส่มาในกล่องบรรจุยาน้ำ หรือได้รับพร้อมกับยาน้ำที่ได้จากโรงพยาบาลหรือคลินิก
- มาตราการตวง 1 มิลลิตร (ml) เท่ากับ 1 ซีซี (cc)

2. พาราเซตามอลช่วยบรรเทาปวดและลดไข้ได้อย่างไร

พาราเซตามอลช่วยบรรเทาอาการปวดและลดไข้ โดยมีฤทธิ์ต่อระบบของร่างกายช่วยให้ความรู้สึกเจ็บปวดลดลง และช่วยลดอุณหภูมิร่างกายที่สูงกว่าปกติในขณะที่เป็นไข้

3. อาการอย่างไรจึงเรียกว่าเป็นไข้

เมื่อวัดอุณหภูมิร่างกายด้วยปรอทวัดไข้ ถ้ามีอุณหภูมิสูงกว่าระดับปกติ คือสูงกว่า 37.5°C ขึ้นไป ถือว่าร่างกายมีไข้ อาการไข้อาจเกิดจากการติดเชื้อ การที่ร่างกายขาดน้ำ การได้รับบาดเจ็บ หรือมีความผิดปกติเกิดขึ้นในระบบร่างกาย

4. วิธีการรับประทานยาพาราเซตามอล

- ยาเม็ดสำหรับผู้ใหญ่ รับประทานครั้งละ 1-2 เม็ด ทุก 4-6 ชั่วโมง เมื่อมีการปวดหรือเป็นไข้ ทั้งนี้ กำหนดให้ผู้ใหญ่ไม่ควรรับประทานยาพาราเซตามอลเกิน 8 เม็ด (4,000 มิลลิกรัม) ใน 1 วัน
- ในส่วนของยาน้ำสำหรับเด็ก แพทย์หรือเภสัชกรจะคำนวณปริมาณยาแต่ละมื้อตามน้ำหนักตัวของเด็กแต่ละคน

5. พาราเซตามอลปลอดภัยหรือไม่

พาราเซตามอลเป็นยาที่มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ หากมีการใช้ยาภายใต้ข้อกำหนดที่ระบุไว้ที่ฉลากยาหรือเอกสารกำกับยา หรือรับประทานยาตามคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกรอย่างเคร่งครัด ที่สำคัญคือไม่ควรใช้ยาเกินกว่าปริมาณที่แนะนำให้ใช้ เพราะอาจทำให้เกิดปัญหาต่อตับได้

6. วัตถุดิบตัวยาที่นำมาใช้ผลิตยา หากได้จากแหล่งผลิตที่ต่างกัน จะมีประสิทธิภาพและความปลอดภัยต่างกันหรือไม่

มาตรฐานของตัวยาต่างๆ จะมีกำหนดในตำรายาซึ่งใช้เป็นมาตรฐานระดับสากล มีการกำหนดปริมาณตัวยาสำคัญ ความบริสุทธิ์ของตัวยา และปริมาณสารปนเปื้อน เป็นต้น ฉะนั้นโดยหลักการแล้ว วัตถุดิบตัวยาที่ได้จากแหล่งผลิตต่างๆ ควรจะมีมาตรฐานดังกล่าวที่ใกล้เคียงกัน อย่างไรก็ตาม พบว่ามีโรงงานผู้ผลิตวัตถุดิบที่สามารถทำให้มีปริมาณสารปนเปื้อนต่ำกว่าค่ามาตรฐาน ส่งผลให้ตัวยามีความปลอดภัยสูงขึ้น

7. ตัวยาพาราเซตามอลของซาร่าที่ได้จากบริษัท มาลิงครอดท์ ประเทศสหรัฐอเมริกา มีความแตกต่างอย่างไร

บริษัท มาลิงครอดท์ ผลิตตัวยาพาราเซตามอลที่มีความบริสุทธิ์สูง มีปริมาณสารปนเปื้อน* ต่ำกว่าค่ามาตรฐาน จึงแตกต่างในด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัยของตัวยา
* สารปนเปื้อนคือสารเคมีที่เกิดจากกระบวนการผลิตตัวยา สารบางชนิดมีพิษต่อระบบร่างกาย ตัวยาที่ดีจะต้องมีปริมาณสารปนเปื้อนต่ำ
* สารปนเปื้อนในพาราเซตามอล ยกตัวอย่างเช่น 4-aminophenol (โฟร์-อะมิโนฟีนอล) เป็นสารที่มีผลต่อตับ ตามข้อกำหนดของเภสัชตำรับ (USP: United States Pharmacopeia) ระบุให้มีสารตัวนี้ปนเปื้อนในผงยาพาราเซตามอลที่จะนำมาผลิตยาได้ไม่เกิน 50 ส่วนในล้านส่วน ซึ่งบริษัท มาลิงครอดท์ สามารถผลิตพาราเซตามอลที่มีสารตัวนี้ปนเปื้อนมาไม่ถึง 2 ส่วนในล้านส่วน

ทั้งนี้ การผลิตยาทุกชนิด จะต้องได้รับอนุญาตการขึ้นทะเบียนตำรับยาจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยากระทรวงสาธารณสุขทุกรายการ ดังนั้น ผู้บริโภคจึงวางใจได้ว่ายาที่ได้ผ่านการอนุมัติทะเบียนยาทุกรายการ จะมีประสิทธิภาพและความปลอดภัยอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานตามที่กระทรวงฯ กำหนด ซึ่งเป็นมาตรฐานสากล อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่มีผลทำให้ยามีประสิทธิภาพและความปลอดภัยยิ่งขึ้น จะขึ้นอยู่กับโรงงานผู้ผลิตแต่ละแห่ง มีการคัดสรรแหล่งที่มาของวัตถุดิบตัวยา มีเทคโนโลยีการผลิตที่ดี มีขั้นตอนในการควบคุมคุณภาพที่เข้มงวด เป็นต้น

8. พาราเซตามอลระคายเคืองกระเพาะอาหารหรือไม่

พาราเซตามอลไม่ทำให้เกิดการระคายเคืองกระเพาะอาหาร อีกทั้งหลังจากรับประทานอาหารแล้ว อาหารในกระเพาะก็ไม่มีผลขัดขวางการดูดซึมของตัวยาพาราเซตามอล ดังนั้น จึงสามารถรับประทานยาพาราเซตามอลได้ทั้งในยามที่ท้องว่างและหลังอาหาร

9. ยาชนิดใดที่มีผลระคายเคืองกระเพาะอาหาร

ยาที่ทำให้เกิดการระคายเคืองกระเพาะอาหาร ต้องรับประทานหลังอาหารทันทีหรือรับประทานพร้อมอาหาร เพื่อช่วยลดการระคายเคืองกระเพาะอาหารลง ไม่ควรรับประทานยาตอนท้องว่าง อาทิเช่น กลุ่มยาแก้ปวดข้อ (ทางการแพทย์เรียกกลุ่มยาต้านอาการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (Non-Steroidal Anti Inflammatory Drugs หรือ NSAIDs) เช่น แอสไพริน, ไอบูโพรเฟน, ไดโคลฟีแนค เป็นต้น

10. เป็นโรคกระเพาะอาหาร สามารถรับประทานพาราเซตามอลได้หรือไม่

ได้ เพราะพาราเซตามอล เป็นตัวยาที่ปลอดภัยต่อกระเพาะอาหาร ไม่ทำให้เกิดการระคายเคือง

11. ซาร่าเม็ดกลมและซาร่าเม็ดรี แตกต่างกันหรือไม่

- ซาร่าชนิดเม็ดกลมและชนิดเม็ดรี แตกต่างกันเพียงรูปลักษณะของเม็ดยา ทั้งนี้เพื่อความสะดวกในการเลือกใช้ยาของผู้บริโภค
- ทั้งซาร่าเม็ดกลมและซาร่าเม็ดรี ใน 1 เม็ด มีปริมาณตัวยาพาราเซตามอล 500 มิลลิกรัม เหมือนกัน

12. ทำไมซาร่าชนิดน้ำสำหรับเด็กมีหลายรสและหลายความเข้มข้น

การที่แพทย์หรือเภสัชกรจะจ่ายยาพาราเซตามอล จะต้องมีการคำนวนปริมาณยาที่จะจ่ายให้ผู้ป่วยแต่ละคนให้ถูกต้อง โดยเฉพาะในเด็กซึ่งง่ายต่อการได้รับยาเกินขนาดจนอาจเกิดอันตรายได้ ฉะนั้นผู้ผลิตจึงผลิตยาน้ำหลายความเข้มข้น เพื่อให้แพทย์หรือเภสัชกรสามารถเลือกความเข้มข้นที่เหมาะสมหรือสะดวกในการตวงปริมาตรยาได้อย่างถูกต้องแม่นยำสำหรับเด็กที่มีน้ำหนักตัวต่างๆ กัน



หมายเหตุ
- หลอดหยด* หมายถึงหลอดหยดที่ใช้ตวงยาน้ำสำหรับเด็กทารก จะมีขีดกำหนดปริมาตรที่แน่นอนที่หลอดหยด คือ 0.6 มิลลิลิตร และ 0.3 มิลลิลิตร
- ช้อนชา** หมายถึงช้อนตวงยาที่กำหนดปริมาตร 5 มิลลิลิตร
ทั้งหลอดหยดและช้อนชา โดยมาก ผู้ผลิตยาจะใส่มาในกล่องบรรจุยาน้ำ หรือได้รับพร้อมกับยาน้ำที่ได้จากโรงพยาบาลหรือคลินิก
- มาตราการตวง 1 มิลลิตร (ml) เท่ากับ 1 ซีซี (cc)

13. การคำนวณปริมาณยาพาราเซตามอลตามน้ำหนักตัว เพื่อรับประทานยาในแต่ละมื้อ มีข้อกำหนดอย่างไร

ยาแต่ละชนิดจะมีการศึกษาวิจัยทางการแพทย์ กำหนดมาตรฐานปริมาณตัวยาที่ใช้ในการ รักษาอาการต่างๆ เพื่อไม่ให้ร่างกายได้รับยามากเกินไปจนเกิดปัญหา หรือได้รับยาน้อยเกินไปจนไม่มีผลต่อการรักษานั้นๆ ยาส่วนใหญ่จะมีการกำหนดปริมาณตัวยาที่ให้ผู้ป่วยในแต่ละมื้อ ซึ่งจะเป็นไปตามน้ำหนักตัวของผู้ป่วย ทางการแพทย์จะให้รับประทานยาพาราเซตามอลใน 1 มื้อ* ปริมาณ 10-15 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม โดยให้รับประทานห่างกัน มื้อละ 4 ถึง 6 ชั่วโมง เฉพาะเมื่อมีอาการ หากไม่มีอาการปวดหรือเป็นไข้ ก็ไม่จำเป็นต้องรับประทานยา

ที่มา* Drug Information Handbook : American Pharmacists Association 24th ปี 2015-2016 หน้า 34

ตัวอย่างการคำนวณปริมาณการรับประทานยาพาราเซตามอล ใน 1 มื้อ
{*คำนวณปริมาณพาราเซตามอล ต่อ 1 มื้อ ตัวอย่างการจ่ายยา
เด็ก หนัก 12 กิโลกรัม 12 X 10 ถึง 12 x 15 มิลลิกรัม คือ 120 ถึง 180 มิลลิกรัม ยาน้ำสำหรับเด็ก ที่ฉลากระบุปริมาณตัวยา ให้เลือกยาน้ำที่มีพาราเซตามอล 120 มิลลิกรัม ต่อ 5 มิลลิลิตร โดยรับประทานยามื้อละ 5 มิลลิลิตร (1 ช้อนชา)
ผู้ใหญ่ หนัก 60 กิโลกรัม 60 X 10 ถึง 60 x 15 มิลลิกรัม คือ 600 ถึง 900 มิลลิกรัม ซาร่าชนิดเม็ด มีพาราเซตามอล 500 มิลลิกรัม ต่อ 1 เม็ด รับประทานยามื้อละ 1 เม็ดครึ่ง*}

- การตวงยาน้ำให้เด็ก จำเป็นต้องดูที่ฉลากยาซึ่งจะระบุปริมาณตัวยาต่อ 1 ช้อนชา ใช้ในการคำนวณปริมาณ ที่จะตวงยาให้แม่นยำ

14. หญิงมีครรภ์รับประทานยาพาราเซตามอลได้หรือไม่

ได้ เป็นที่ยอมรับทางการแพทย์ว่า พาราเซตามอลเป็นทางเลือกของยาแก้ปวดที่ปลอดภัยสำหรับหญิงมีครรภ์เมื่อเทียบกับยาแก้ปวดในกลุ่มอื่นๆ โดยจะต้องรับประทานยาภายใต้ข้อกำหนดที่ระบุในเอกสารกำกับยา หญิงมีครรภ์ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเพื่อรับคำแนะนำที่ถูกต้องในการใช้ยาและข้อควรระวังต่างๆ

15. หญิงให้นมบุตรสามารถรับประทานยาพาราเซตามอลได้หรือไม่

ได้ พาราเซตามอลเป็นทางเลือกของยาแก้ปวดที่ปลอดภัยสำหรับหญิงให้นมบุตร เมื่อเทียบกับยาแก้ปวดในกลุ่มอื่น ทั้งนี้ ต้องรับประทานยาภายใต้ข้อกำหนดที่ระบุในเอกสารกำกับยา หญิงให้นมบุตรควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเพื่อรับคำแนะนำที่ถูกต้องในการใช้ยาและข้อควรระวังต่างๆ

16. มีข้อควรระวังในการรับประทานยาพาราเซตามอลหรือไม่ อย่างไร

- ไม่รับประทานยาพาราเซตามอลเกินปริมาณที่กำหนดไว้ในฉลากหรือเอกสารกำกับยา
- ไม่รับประทานยาอื่นๆ ที่มีส่วนประกอบของพาราเซตามอลซ้ำซ้อนกัน
- ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคตับและโรคไตควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนการรับประทานยา
- ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนการรับประทานยา

17. ตัวยาพาราเซตามอลทำให้เกิดผลข้างเคียงใดๆ หรือไม่

การรับประทานยาพาราเซตามอลในปริมาณปกติ (ผู้บริโภคปฏิบัติตามรายละเอียดและวิธีใช้ยาที่ระบุในเอกสารกำกับยา) จะพบว่าตัวยาทำให้เกิดผลข้างเคียงต่ำมาก ผลข้างเคียงที่สังเกตเห็นได้ เช่น เป็นผื่นที่ผิวหนัง
ที่มา* Drug Information Handbook : American Pharmacists Association 24th ปี 2015-2016 หน้า 33

18. ข้อเท็จจริงเรื่องพาราเซตามอลมีผลต่อตับ

โดยปกติแล้ว ไม่ว่าจะเป็นอาหาร ยาหรือวิตามิน ล้วนมีสารที่ส่งผลต่อร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นตับ ไต หรืออวัยวะต่างๆ ของร่างกาย ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ทั้งในแง่ของผู้ที่ได้รับสารเอง ก็มีปัจจัยด้าน อายุ เพศ เชื้อชาติ สภาวะร่างกายของแต่ละคน ปริมาณและช่วงเวลาที่ได้รับ สภาวะของตับและไตซึ่งทำหน้าที่ขับสารออกจากร่างกาย ส่วนในแง่ของตัวสารที่ร่างกายได้รับ ก็ขึ้นอยู่กับรูปแบบของสาร ปริมาณและช่วงเวลาที่ได้รับสารนั้นๆ รวมถึงผลกระทบร่วมกับสารอื่นที่ได้รับพร้อมกัน
ในกรณีของการรับประทานยา หากเราได้รับยาเกินขนาด ก็ส่งผลให้ตับไตทำงานหนักจนอาจเกิดปัญหาได้
สำหรับพาราเซตามอลซึ่งถูกขับออกจากร่างกายทางตับ ในผู้ที่มีการทำงานของตับเป็นปกติ การรับประทานยาตามข้อกำหนดในเอกสารกำกับยาจะไม่ทำให้เกิดปัญหาต่อตับ ดังนั้นจึงไม่ควรรับประทานยาในปริมาณสูงกว่าที่แพทย์หรือเภสัชกรแนะนำ ควรทานยาพาราเซตามอลแต่ละมื้อห่างกันอย่างน้อย 4 ถึง 6 ชั่วโมงเมื่อมีอาการ
- สำหรับผู้ใหญ่ ทางการแพทย์มีข้อกำหนดไม่ให้รับประทานยาพาราเซตามอลเกินวันละ 4,000 มิลลิกรัม หรือ 8 เม็ด
- สำหรับการให้ยาในเด็กต้องให้ยาตามปริมาณที่กำหนดอย่างเคร่งครัด และไม่ให้รับประทานยาเกิน 5 มื้อต่อวัน
- หากเป็นผู้ป่วยโรคตับ โรคไต ควรรับประทานยาภายใต้คำแนะนำของแพทย์เท่านั้น
ที่มา
- United States National Library of Medicine : Drug Record Acetaminophen
- Drug Information Handbook: American Pharmacists Association 24th ปี 2015-2016หน้า 34


19. ไม่ควรรับประทานยาพาราเซตามอลติดต่อกันนานเกินกี่วัน

ไม่ควรรับประทานยาพาราเซตามอลติดต่อกันนานเกิน 5 วัน ในกรณีที่ผู้ป่วยยังคงมีอาการปวดหรือเป็นไข้อย่างต่อเนื่อง จำเป็นต้องพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยอาการ

20. ยาเม็ดซาร่ามีอายุยา (Shelf Life) นานเท่าใด

มีอายุ 5 ปี นับจากวันที่ผลิตยา ทั้งนี้ต้องเก็บยาให้พ้นแสง ความร้อน และความชื้น ภายใต้อุณหภูมิไม่เกิน 30°C และควรเก็บยาให้พ้นมือเด็ก

ยาทุกชนิดหากเก็บไว้แล้วพบว่ายามีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เช่น เปลี่ยนสี มีจุด เม็ดยาชื้น ฯลฯ แสดงว่ายาอาจเกิดการเสื่อมสภาพอันเนื่องมาจากการเก็บยาในสภาวะที่ไม่เหมาะสม จึงไม่ควรใช้ยานั้นอีกต่อไป

21. ยาซาร่าชนิดน้ำสำหรับเด็กมีอายุยา (Shelf Life) นานเท่าใด

มีอายุ 5 ปี นับจากวันที่ผลิตยา ทั้งนี้ต้องเก็บยาให้พ้นแสง ความร้อน และความชื้น ภายใต้อุณหภูมิไม่เกิน 25°C และควรเก็บยาให้พ้นมือเด็ก

ยาทุกชนิดหากเก็บไว้แล้วพบว่ายามีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เช่น เปลี่ยนสี มีกลิ่นแปลกๆ มีตะกอน ฯลฯ แสดงว่ายาอาจเกิดการเสื่อมสภาพอันเนื่องมาจากการเก็บยาในสภาวะที่ไม่เหมาะสม จึงไม่ควรใช้ยานั้นอีกต่อไป

22. ยาน้ำ 1 ช้อนชา มีปริมาณเท่าใด

ตามมาตราการตวงยาน้ำ ยา 1 ช้อนชา* มีปริมาณ 5 มิลลิลิตร (หรือ 5 cc)
ช้อนชา* ในที่นี้หมายถึง ช้อนสำหรับตวงยา กำหนดปริมาตร 1 ช้อนชามี 5 มิลลิลิตร (หรือ 5 cc)
โดยมากผู้ผลิตยาจะใส่มาในกล่องบรรจุ หรืออาจได้รับช้อนชาพร้อมกับยาน้ำที่ได้จากโรงพยาบาลหรือคลินิก

23. การรับประทานยาน้ำ จำเป็นต้องเขย่าขวดก่อนรับประทานหรือไม่

จำเป็น เนื่องจากต้องการให้ผู้ป่วยได้รับตัวยาในปริมาณที่ถูกต้อง ก่อนรินยาน้ำทุกชนิดเพื่อรับประทาน
ควรเขย่าขวดก่อนทุกครั้ง การเขย่าขวดยาช่วยให้ตัวยากระจายได้ทั่วทั้งขวด

24. ยาน้ำสำหรับเด็กที่ระบุว่า “ปราศจากน้ำตาล” หรือ “Sugar Free” มีข้อดีอย่างไร

เนื่องจากผงยาที่นำมาทำยาน้ำส่วนใหญ่มีรสขมหรือมีกลิ่นของยาที่เด็กไม่ชอบ ทำให้เด็กบางคนปฏิเสธการรับประทานยา ผู้ผลิตยาจะทำการแต่งรสยาให้หวานโดยส่วนใหญ่จะใช้น้ำเชื่อมซึ่งก็คือน้ำตาลเพื่อกลบความขมของยา
ยาน้ำที่ระบุว่า “ปราศจากน้ำตาล หรือ sugar free” นั้น แสดงว่าผู้ผลิตเลือกใช้ส่วนผสมที่ให้ความหวานอื่นๆ ที่มีคุณสมบัติปลอดภัยต่อเด็กแทนการใช้น้ำตาล อาทิเช่น ซอร์บิทอล ทั้งนี้ จะเป็นการดีต่อสุขภาพของเด็กยิ่งขึ้น เพราะไม่ทำให้เด็กรับประทานน้ำตาลโดยไม่จำเป็น

25. ยาน้ำสำหรับเด็กที่ระบุว่า “ปราศจากแอลกอฮอล์” หรือ “Alcohol Free” มีข้อดีอย่างไร

โดยปกติ การละลายผงยาและการผสมยาน้ำจะต้องใช้สารต่างๆ หลายชนิด เพื่อให้ยามีความคงตัวดี (ยาที่มีความคงตัวดี หมายถึง หากเก็บยาในสภาวะแวดล้อมที่กำหนดตลอดอายุของยา (Shelf Life) ตัวยาสำคัญจะยังคงมีปริมาณและประสิทธิภาพตามมาตรฐานและไม่เสื่อมสภาพไป ซึ่งแอลกอฮอล์ก็เป็นส่วนผสมหนึ่งที่ผู้ผลิตยาเลือกใช้ในสูตรยาน้ำเพื่อวัตถุประสงค์ดังกล่าว
ยาน้ำที่ระบุว่า “ปราศจากแอลกอฮอล์ หรือ alcohol free” นั้น ผู้ผลิตมีการพัฒนาสูตรยา โดยใช้สารที่มีความปลอดภัยทดแทนการใช้แอลกอฮอล์ ทำให้สูตรยาดังกล่าวมีความปลอดภัยยิ่งขึ้น